SEO คืออะไร อันนี้น่าจะเป็นคำถามที่ถูกถามได้เรื่อยๆ ในวงสนทนาด้านการตลาดออนไลน์ และมันก็มักจะไม่มีคำตอบที่ตรงตัว อย่างไรก็ตามทาง Digi Era อยากที่จะนำเสนอในมุมมองที่ว่า SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งที่มีหน้าที่หลักๆ เลยก็คือการทำให้เว็บไซต์ของคุณได้ถูกนำไปจัดอันดับในเว็บไซต์ค้นหาชื่อดังต่างๆ เช่น Google, Bing หรือ Yandex แต่ในไทยให้ความสำคัญกับ Google เพราะเป็นเครื่องมือเดียวที่หลายๆ คนใช้กัน
เลือกอ่านเฉพาะบางหัวข้อที่คุณต้องการ
ทำไมต้องเลือกทำ SEO?
ปัจจุบันถ้าเราต้องการที่จะสืบค้นข้อมูลอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว, หารีวิวร้านอาหาร หรือต้องการที่จะจองโรงแรม/ตั๋วเครื่องบิน เรามักจะเลือกเข้า Google.co.th อยู่เสมอ เพราะมันง่ายที่จะตอบปัญหาในสิ่งที่คุณต้องการได้
ดังนั้น การทำ SEO จึงเป็นเหตุผลหลักๆ ที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถจะมีโอกาสขึ้นไปอยู่บนอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาด้วยการใช้คีย์เวิร์ด อย่างไรก็ตามถ้าเราต้องการที่จะให้ Google นำเว็บไซต์ของเราไปจัดอันดับบนผลการค้นหาของเขานั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องปรับเว็บไซต์กันบ้างเพื่อให้ถูกใจ และถูกหลักของ Google เสียก่อน
Google รู้ได้อย่างไรว่าเว็บไซต์ไหนควรที่จะถูกนำไปจัดอันดับ?
เว็บไซต์ที่เรียกตัวเองว่า Search Engine อย่าง Google พวกเขาได้คิดค้นและพัฒนาเครื่องมือชนิดหนึ่งขึ้นมาซึ่งมันเรียกว่า Robot ซึ่งหน้าที่ของมันคือ การเข้าไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ในโลกใบนี้ เพื่อจัดเก็บข้อมูล และส่งกลับไปยังฐานข้อมูลของพวกเขา โดยเราจะเรียกว่าการ Indexing แต่ว่าการจัดอันดับของแต่ละเว็บไซต์นั้นจะค่อนข้างซับซ้อนเพราะมันจะต้องผ่านกระบวนการอีกมากมายหรือเรามักจะเรียกสวยๆ ว่า Algorithm โดยพวกเขาจะตัดสินใจว่าเว็บของคุณควรที่จะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ หน้าไหน เป็นต้น
เช่นเดียวกันโลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ Search Engine อย่าง Google เท่านั้น หากแต่ว่ามีทั้ง Bing, Yahoo, Yandex และอื่นๆ โดยในแต่ละที่ก็จะมีเทคนิคการคิดค้น Algorithm และ Robot ที่แตกต่างกัน
ถ้าอยากทำ SEO ให้เว็บไซต์ต้องปรับอะไรบ้าง
ถ้าเจ้าของเว็บไซต์ต้อง การที่จะทำ SEO เพื่อให้เว็บของตัวเองขึ้นอยู่ในหน้าค้นหาของ Google นั้น อันดับแรกเราต้องให้ Robot เข้ามายังเว็บไซต์ของเราเสียก่อน ขั้นแรกให้ลองตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการ Indexing แล้วหรือยังด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยคำสั่งด้านล่าง
ตรวจสอบการ Indexing ด้วย site:staging.digi-era.co ในหน้า Google Search bar
ถ้าหากคุณได้ลองแล้วไม่เกิดผลแบบภาพด้านบนแสดงว่าเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ถูกนำจัดเก็บไว้ใน Google อย่างแน่นอน แต่โดยมาก 90% มักจะถูกเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้ายังให้ลองสมัครใช้บริการ Google Search Console เจ้า Robot น้อยก็จะเข้ามาทำหน้าที่เก็บข้อมูลของคุณในทันที ซึ่งในคราวหลังผมจะมาบอกว่าถ้าจะใช้ Search Console ควรจะทำอย่างไรบ้าง
Keyword Research มองหาคีย์เวิร์ดที่ใช่
คุณจะเริ่มต้นจาก การค้นหา Keyword ที่คุณคิดว่าเหมาะกับเว็บไซต์ ของธุรกิจคุณ ซึ่งคุณในฐานะเจ้าของจะต้องเข้าใจก่อนว่าธุรกิจของคุณนั้นให้บริการด้านไหนเป็นหลัก เพื่อที่จะทำให้คำค้นหานั้นถูกจำกัดวงให้แคบลง รวมทั้งยังสามารถที่จะเจาะจงได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเปิดเว็บมาเพื่อขายสินค้าแบบลาซาด้าคีย์เวิร์ดที่จะต้องหานั้นก็จะต้องมีจำนวนมหาศาล เพราะจะต้องใช้กับทุกสินค้าและผลิตภัณฑ์ แต่ถ้าคุณเลือกที่จะขายเพียงแค่ รองเท้าผู้ชาย หรือ กางเกงยีนส์ผู้ชาย ที่เจาะตลาดผู้ชายเท่านั้น ก็จะทำให้คุณทำให้จำกัดวงคีย์เวิร์ดได้แคบลงมา โดยที่เราสามารถจะมองหาคีย์เวิร์ดได้ง่ายๆ ด้วยการใช้ Keyword Planner ใน Google Ads
เข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์
โครงสร้างเว็บไซต์มีส่วนสำคัญมากๆ ที่จะทำให้ Google Robot สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายๆ ยิ่งมีการวางโครงสร้างที่ซับซ้อนมาก แม้ว่าจะมีความสวยงามในรูปแบบของ UX/UI แต่หลังบ้านอาจจะสร้างความเสียหายให้กับเว็บไซต์ของคุณอยู่ก็ได้
ซึ่งถ้าไม่อยากที่จะปวดหัวกับการสร้างโครงสร้างที่มันอาจจะยุ่งยาก ทางหนึ่งที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รักกับ Google หรือ Search Engine อื่นๆ การเลือกใช้ Content Management System หรือ CMS ก็จะช่วยทำให้ลดความยุ่งยากตรงนี้ลงไปได้เช่น WordPress, Drupal, Joomla และอื่นๆ อีกเพียบ แล้วแต่ความถนัดของคนเขียนเว็บไซต์
เข้าใจวิธีการทำ On Page SEO แบบเบื้องต้น
On Page SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณเองให้ตรงกับความต้องการ Google Search เพราะไม่เช่นนั้นมันก็จะมีโอกาสที่เว็บไซต์จะไม่ได้ถูกนำไปจัดอันดับไว้ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา โดยในเบื้องต้นนั้นการปรับ On Page ที่ดีจะต้องประกอบไปด้วย
- Title ของเว็บไซต์ มันเป็นส่วนสำคัญมากๆ ที่คุณจะต้องใส่ใจเป็นอันดับแรก เพราะส่วนตรงนี้จะถูกนำไปโชว์ใน Google Search นั่นเองโดยการเขียนนั้นเจ้าของเว็บไซต์จะต้องระบุคีย์เวิร์ดหรือคำค้นหาที่คุณได้เลือกมา ซึ่งมีกฏง่ายๆ ว่าความยาวของ Title นั้นให้ยาวได้สุดๆ เพียง 70 ตัวอักษรเท่านั้น นับรวมสเปซ
- Meta Desctipion เป็นอีกหนึ่งส่วนที่จะถูกนำไปโชว์ในหน้า Google Search เช่นเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการขยายความให้กับ Title โดยมันจะส่งผลทำให้คนเมื่อได้ค้นหาและเห็นเว็บไซต์ของคุณแล้วเกิดการคลิกมากยิ่งขึ้น โดยคุณจะใส่หรือไม่ใส่คีย์เวิร์ดก็ได้
- ตั้งชื่อให้กับภาพตัวเอง แม้ว่า Google Robot จะเข้าใจหลายๆ อย่างและมีความชาญฉลาด แต่มันจะไม่สามารถเข้าใจภาพได้แบบ 100% หากแต่ว่ามันจะเข้าใจได้เมื่อมีคนไปตั้งชื่อให้กับมัน ด้วยการตั้งค่า ALT TAG ซึ่งค่านี้จะทำหน้าที่บอกกับ Robot ของเราว่าภาพที่เห็นอยู่นั้นชื่อว่าอะไร และที่สำคัญถ้ามี 10 ภาพในหน้าเดียวกัน ห้ามตั้งชื่อเหมือนกันโดยเด็ดขาด
- รู้จักการปรับโครงสร้างของคอนเทนส์ โดยเริ่มต้นจากให้มองเพจ 1 เพจของเว็บไซต์มีค่าเท่ากับ 1 หน้า ซึ่งจะทำให้คอนเทนส์ในแต่ละหน้าจะต้องประกอบไปคีย์เวิร์ดที่คุณได้เลือกมา อย่างน้อย 5 – 10 คีย์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้คีย์ที่ซ้ำๆ กัน มากจนเกินไป เช่น ในบทความใช้แต่คำว่า รองเท้าผู้ชาย ซ้ำๆ เป็นต้น แต่มันยังไม่พอคอนเทนส์ที่ดีไม่ใช่จะเป็นเพียงแค่คอนเทนส์ที่ไม่มีจำนวนคีย์เวิร์ดที่มากเกินไป หากแต่ว่าคอนเทนส์นั้นๆ จะต้องประกอบไปด้วย H1 / H2 – H6 รวมไปจนถึง การทำตัวอักษรให้หนา หรือเป็นตัวเอียง
เข้าใจการจัดการ Off Page SEO แบบง่ายๆ
เราจะทำให้เว็บไซต์ขึ้นไปอยู่ติดอันดับการค้นหานั้นไม่ใช่เพียงแค่ปรับเว็บของเราเท่านั้น หากแต่ว่าเราต้องบอกให้โลกรู้ด้วยว่า มีเว็บไซต์แล้วนะเห้ย เข้ามาดูได้ ผ่านการกระจายเว็บไซต์ของเราไปในที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook / เว็บบอร์ดต่างๆ เป็นต้น หากแต่ว่าเราจะกระจายไปในทุกเว็บไม่ได้ เพราะเว็บที่เราจะสามารถกระจายไปได้นั้น อย่างแรกเลยคือมันต้องเกี่ยวกับเรื่องที่คุณนำเสนอ หรือมีความเกี่ยวเนื่องกัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหาก Digi Era จะต้องการ Traffic เข้ามายังเว็บไซต์ ผมจะต้องกระจายไปยังเว็บที่พูดคุยถึงเรื่องการตลาดดิจิทัล หรือเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อที่จะทำให้เข้าตา Google นั่นเอง
การทำ SEO กับ SEM ต่างกันตรงไหน?
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เราก็ได้ทำความใจไปในเบื้องต้นแล้วว่า การทำ SEO คืออะไรและทำงานอย่างไร และทำไมถึงจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้เทคนิคนี้ แต่มันต่างกันอย่างไรกับ SEM ก่อนที่จะทำความเข้าใจตรงนั้น เราต้องที่จะเข้าใจก่อนว่า SEM คืออะไร ซึ่งทางเราขอสรุปสั้นๆ ว่า SEM หรือ Search Engine Marketing หมายถึง การทำโฆษณาผ่านระบบค้นหาของ Google ที่คุณจะต้องจ่ายเป็นค่าคลิก โดยเราจะเรียก PPC (Pay Per Click)
ข้อแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM นั้นมีค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่ถ้าจะให้มองหลักๆ แล้วนั้นมันคือรูปแบบของการลงทุน ที่ต่างกันออกไป เพราะสำหรับ SEO นั้นเปรียบเสมือนกับการทำการตลาดแบบ Long-Term Invesment ที่เมื่อได้ลงทุนไปแล้ว เราจะต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าที่ Google จะตัดสินใจว่าคุณควรที่จะถูกนำไปจัดอันดับหรือไม่ อย่างน้อย 6 เดือนไปจนถึง 1 ปี และไม่ใช่การทำการตลาดที่ไม่ใช้เงิน หากแต่ว่าอาจจะต้องใช้เงินก้อนที่ค่อนข้างสูงในระดับนึง หากแต่ว่ามันจะคุ้มกว่าในระยะยาว เมื่อเว็บไซต์ของคุณไปอยู่ในหน้าแรกของ Google
ขณะเดียวกัน SEM นั้นให้มองว่าเป็นการลงทุนแบบระยะยสั้น Short-Term Investment ที่จะให้ผู้ที่ต้องการทำโฆษณาจ่ายเป็นค่าคลิก เพื่อที่จะให้เว็บไซต์ของตนเองนั้นไปอยู่ในหน้าแรกได้เร็วขึ้น ซึ่งถ้าหากคนไม่คลิกแอดของคุณเลยทางอากู๋ก็จะไม่คิดเงินของคุณ แต่อย่าคิดว่าจะไม่มีคนคลิกนะ เพราะมันมีแน่นอน รวมทั้งยังสามารถวัดผลได้ง่าย สามารถรู้ผลตอบรับได้เร็วกว่า SEO
สรุปสั้นๆ
การทำ SEO คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ ให้เหมาะสมกับความต้องการของ Search Engine ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Google, Bing และอื่นๆ ด้วยการใช้ Keyword มาเป็นตัวช่วยตัดสินใจว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังพูดถึงเกี่ยวกับอะไร และต้องการจะนำเสนออะไร เพื่อที่จะทำให้ระบบ Search Engine เหล่านั้น สามารถนำไปประมวลผลได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะต้องจัดอันดับอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ อยู่หน้าไหนของผลการค้นหาของเขา
ดังนั้นจงอย่าทำเว็บไซต์เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเพียงเท่านั้น หากแต่ว่าจะต้องทำเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับคนที่กำลังค้นหาความรู้ด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้นำข้อมูลของคุณไปเผยแพร่ต่ออีกได้ แต่ถ้าถามว่าเว็บไซต์แบบไหนถึงจะเหมาะสม คงบอกไม่ได้เพราะผมเองก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเว็บไซต์ ที่ใช้คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับคำว่า ทำ seo / การทำ seo หรือ สอน seo จนคุณได้อ่านบทความนี้คงจะเข้าใจนะครับว่า ทำไมเว็บของผมสามารถที่จะมาอยู่ในหน้านี้ได้ เพราะมันเหมาะสมกับคำค้นหา หรือคนที่กำลังค้นหาใช่หรือไม่