Google Search (SEM) เป็นช่องทางหนึ่งที่พ่อค้าแม่ค้ามักจะเลือกในการทำโฆษณาเพื่อขายสินค้าของตัวเองออนไลน์ หากแต่ว่าการลงโฆษณาแบบเดิมๆ อาจจะทำให้ยากต่อการตัดสินใจของลูกค้า ในวันนี้ Digi Era เลยอยากลองเสนอให้ทุกคนได้รู้จักกับ Google Shopping Ads ซึ่งจะทำให้โฆษณาของคุณดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งในวันนี้เราจะมาบอกแบบหมดเปลือก และให้ได้ลองสร้างด้วยตัวเองสักครั้ง สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งเว็บทีเ่ป็น WordPress หรือ lnwshop ตามมาได้เลย
เลือกอ่านเฉพาะบางหัวข้อที่คุณต้องการ
Google Shopping Ads คืออะไร
Google Shopping Ads หรือ Shopping Ads เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งที่จะทำหน้าโฆษณาสินค้าของคุณบน Google Search ด้วยตัวโฆษณานั้นจะแสดงผลด้วยองค์ประกอบหกอบหลักหลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อสินค้า, ราคาสินค้า, ส่วนลด, การขนส่ง, ค่าจัดส่ง และอื่นอีกๆ มากมาย ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
รูปร่างหน้าตาของโฆษณาเมื่อแสดงผลก็จะเป็นแบบข้างต้น โดยตัวโฆษณาก็จะแบ่งเป็น รูปสินค้า (สีเหลือง), ส่วนลด (สีเขียว) ซึ่งอาจจะมีหรือไม่ต้องมีก็ได้ ในกรณีทาง Nike เค้าทำใส่เอาไว้, ชื่อสินค้า (สีฟ้า) และ ราคา รวมทั้งผู้ให้บริการ (สีน้ำตาล)
ดังนั้นธุรกิจที่เหมาะกับ การลงโฆษณาแบบ Shopping Ads ควรจะเป็นเว็บไซต์ประเภท eCommerce เช่น เทพช้อป, woocommerce, shopify, wix และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ถ้าเราต้องการจะลงนั้นจำเป็นที่จะต้องอัพโหลดสินค้าของเราเองไปยังระบบกลางเสียก่อน มันเรียกว่า Merchant Center
ทำไมต้อง Shopping Ads
โอกาสที่ลูกค้าจะเห็นเยอะกว่า (Impressions Share)
เมื่อเราได้เลือกที่จะโฆษณาแบบ Google Shopping Ads โอกาสที่คุณนั้นจะมีคนเห็นสินค้าของคุณ (Impressions Shares) สูงกว่าการลงแบบเดิม แต่อย่างไรก็ตามเราก็ต้องมั่นดูด้วยว่าตัว Impressions Share ที่ได้มามีคุณภาพหรือไม่ ดังนั้น เราจึงควรทำ Negative Keywords บ่อยๆ เพื่อค่อยๆ คลีน ทำให้แคมเปญของเราเจาะได้ตรงกลุ่มมากขึ้น
เข้าถึงลูกค้าด้วย Long Tail Keywords
เมื่อเราเลือกที่จะโฆษณาด้วย Google Shopping Ads คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมากังวลในเรื่องของการเลือกคีย์เวิร์ดเท่าไหร่นัก เพราะระบบจะจัดใช้ Machine Learning จัดสรรคีย์เวิร์ดให้กับผลิตภัณฑ์ของคุณเอง โดยจะเป็นตรวจสอบจากหลากหลายๆ กรณี แต่หลักๆ แล้วจะใช้ข้อมูลจาก Title หรือ Product Description
อย่างไรก็ตามเหมือนว่าเราไม่จำเป็นที่จะต้องหาคีย์เวิร์ดให้ปวดหัว แต่ว่าเจ้าของเว็บไซต์หรือร้านอีคอมเมิร์ชจำเป็นที่จะต้องจัดการ Title และ Description ให้มีเนื้อหาให้ครบถ้วน เพื่อที่จะทำให้ Machine Learning ไปจัดการหาคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสินค้าของคุณ นอกจากนี้โอกาสที่เราจะได้เข้าถึง Long Tail Keywords ได้มากขึ้น หมายถึงอะไรนั้น แนะนำให้อ่านจาก Search Intent คืออะไร จากบล็อก Chalakorn, เทคนิคและวิธีการอัพเดท Keyword Planner ในปี 2020 จาก digitalmindhub.com, Keyword Planner คืออะไรของผมเอง )
พื้นที่ในการโฆษณาของคุณที่เพิ่มขึ้น
เมื่อคุณได้ทำโฆษณา Google Shopping Ads โอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะแสดงโฆษณามากกว่า 5 – 10 ชิ้นในรอบเดียวนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่น เมื่อผมได้ลองหาคำว่า “เวย์โปรตีน” สินค้าที่แสดงส่วนใหญ่ในหน้า Result มาจาก Fitwhey ประเทศไทย
Google Shopping Ads ทำงานอย่างไร?
ก่อนอื่นเลยถ้าเราต้องการให้ตัวสินค้าของเราไปแสดงผลแบบภาพด้านบน เราจำเป็นที่จะต้องอัพโหลดสินค้าของตัวเองขึ้นไปยังระบบกลางของ Google โดยเราจะเรียกกันว่า Merchant Center สำหรับใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิช สามารถที่จะคลิกเพื่อสมัครใช้งานได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น และเมื่อเราสมัครเป็นที่เรียบร้อย เราจำเป็นที่จะต้องยืนยันการเป็นเจ้าของ และทำการเชื่อมกับ Google Ads หลังจากนั้นให้ทำการตั้งค่าต่างๆ เพื่อที่จะให้ระบบนั้นสามารถเปิดใช้งานได้
วิธีการตั้งค่า Google Shopping Ads
การตั้งค่าก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย จะเริ่มกันตั้งแต่เริ่มยืนยันแอคเค้าท์เพื่อขอเปิดใช้งาน ไปจนถึงใส่ข้อมูลสินค้าเข้าสู่ระบบ Google Merchant Center ทำแบบนั้นไหน ลองทำตามกันดูครับ
การสมัคร และยืนยันแอคเค้าท์
- ให้ไปที่ https://merchants.google.com
- เมื่อเข้ายังเว็บด้านบน ถ้าเรายังไม่เคยมีแอตเต้าเท์ Google Merchant มาก่อน ระบบจะให้ใส่รายละเอียดตามภาพด้านล่าง คือ เราต้องใส่ชื่อธุรกิจ, ประเทศของธุรกิจ ส่วนเวลาระบบจะเลือกให้เองแบบอัตโนมัติ เมื่อเรียบร้อยให้เลื่อนลงมาด้านล่าง
- เมื่อใส่รายละเอียดเรียบร้อย ตามภาพด้านบน ระบบก็จะให้เราเลือกวิธีการเก็บเงินจากลูกค้า ให้เลือกเฉพาะอันแรก แต่ถ้าเว็บไซต์ของใครที่ใช้ระบบ Shopify หรือสามารถใช้จ่ายผ่าน Paypal ได้ก็สามารถที่จะเลือกได้ แต่ถ้าใครไม่มีก็แค่ปล่อยว่างเอาไว้
- ที่เหลือก็เป็นเพียงแค่คำถามว่า เราอยากรับข่าวสารใหม่ๆ จาก Google หรือไม่ เราจะเลือกหรือไม่ต้องเลือกก็ได้ หลังจากนั้นให้คลิกที่สร้างบัญชี แต่ยังไม่เรียบร้อยร้อย เราจะต้องยืนยันสิทธิ์เสียก่อนถึงจะเปิดการใช้งานได้
- เมื่อกดสร้างบัญชีเป็นที่เรียบร้อย เราจำเป็นที่จะต้องใส่ข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมในหน้าถัดไป โดยจะเป็นข้อมูลรายละเอียดที่เราต้องใส่ และถ้าใส่ไม่ครบ เราก็จะไม่สามารถที่จะเปิดใช้งานบัญชีได้ ในในสิ่งที่เราควรใส่นั้นก็จะประกอบไปด้วย ภาษี (สำหรับในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องใส่), การจัดส่งสินค้า (ระบบบอกว่าไม่ได้บังคับ แต่เมื่อเราได้อัพเดตสินค้าไปแล้วระบบมักจะฟ้องเตือนว่าให้เราใส่ข้อมูลในส่วนนี้ ดังนั้นควรที่จะใส่น่าจะดีกว่า), เว็บไซต์ (อันนี้ต้องใส่ เพราะระบบจะได้รู้ว่าเกี่ยวกับเว็บไซต์ของเรา และเมื่อใส่แล้วระบบจะมีรหัส Code มาให้เราทำการยืนยัน ด้วยการนำ Code ดังกล่าวไปติดในเว็บในส่วนที่เป็น <header> ของเว็บ, ข้อมูลผลิตภัณฑ์ จำเป็นต้องใส่เพราะถ้าไม่ใส่จะไม่สามารถที่จะใช้งานได้ ส่วนที่เหลือก็เป็นข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของบริษัทที่คุณต้องใส่
อัพโหลดสินค้าจากเว็บเข้าสู่ Merchant Center
สำหรับการอัพโหลดข้อมูลสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของตัวเองเข้าสู่ Google Merchant Center สามารถเลือกทำได้หลากหลายวิธี เช่น การอัพโหลดแบบ Manually, การอัพโหลดผ่าน Files CSV หรือ Google SpreadSheet, การอัพโหลดผ่าน Product XML Feeds หรือ Content API แต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรนั้นมาดูกันครับ
- การอัพเดทแบบ Manually – ก็คือการใส่รายละเอียดสินค้าเข้าไปใน Google Merchant Center โดยตรง วิธีแบบนี้ไม่ยุ่งยาก แต่ไม่เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีสินค้าจำนวนมากๆ รวมทั้งถ้าเว็บไซต์ของคุณสินค้าไม่เหลือแล้ว หรือได้ถูกนำออกไปจากเว็บไซต์แล้ว เราก็จำเป็นที่จะต้องกลับมาที่ Merchant Center เพื่อเอาสินค้าชิ้นนี้ออก
- การอัพเดทแบบ Google Sheet, CSV Files – เหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่มีสินค้าหลากหลายชิ้นในคราวเดียว แต่ก็เช่นเดียวกันเมื่อสินค้าในเว็บได้ถูกนำออกจากเว็บไซต์เราก็จำเป็นที่จะต้องเข้ามาอัพเดทรายละเอียดสินค้านั้นๆ ออกจาก CSV, Spread Sheet เช่นเดียวกัน
- การอัพเดทแบบ Content API หรือ XML Files – เป็นวิธีที่น่าจะดีที่สุด เพราะจะเป็นการดึงข้อมูลมาจากเว็บไซต์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดสินค้าต่างๆ รวมทั้งเมื่อสินค้าไม่ได้อยู่บนเว็บไซต์ ระบบก็จะตัดให้เองแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเข้ามาทำให้เสียเวลา
อย่างไรก็ตามในการอัพเดตสินค้าเข้าสู่ Google Shopping Ads เราจำเป็นที่จะต้องจัดการไฟล์และรายละเอียดให้ตรงกับกฏที่กูเกิ้ลได้สร้างขึ้นมา ไม่เช่นนั้นสินค้าของคุณจะไม่ถูกนำไปแสดงผลอย่างแน่นอน สิ่งที่เราต้องมีนั่นก็คือ Titles, Description, Image, Price, Final URL, Shipping, Google Product Category, MPN or GTN และอื่นๆ อีกมากมาย สามารถศึกษารายละเอียดได้จากลิ้งด้านล่าง
เมื่อเราจัดการเป็นที่เรียบร้อย ระบบจะทำให้เราสามารถใช้งานได้ แต่ในเบื้องต้นจะใช้เวลาประมาณ 3 วันทำการ (ไม่รวมเสาร์ และอาทิตย์) ในการพิจารณาว่าธุรกิจของคุณจะสามารถทำโฆษณาแบบ Shopping Ads ได้หรือไม่
สินค้าที่ลงโฆษณาบน Google Shopping ไม่ได้
ไม่ใช่สินค้าทุกประเภทจะสามารถลงโฆษณาแบบ Shopping Ads ได้ สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ Google ไม่ต้องการได้จากลิ้งนี้ – https://support.google.com/merchants/answer/6149970?hl=th
สินค้าที่ไม่สามารถโฆษณาได้เลย
- สินค้าลอกเลียนแบบ – สินค้าประเภทก็อปปี้ หรือของลอกเลียนแบบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามแต่
- สินค้าอันตรายต่างๆ – สินค้าอันตรายอาทิเช่น อาวุธสงคราม หรือ ยาเสพติด เป็นต้น
- สินค้าที่สนับสนุนให้เกิดการฉ้อโกง – วุฒิการศึกษาปลอม, บัตรประชาชนปลอม หรือ พาสปอร์ตปลอม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีสินค้าอีกหลากหลายประเภทที่ไม่สามารถจะทำโฆษณาบน Shopping Ads เพราะเนื่องด้วยระบบไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับกับสินค้าประเภทนั้นๆ เช่น การจองตั๋วโรงแรม, การจองตั๋วรถบัส, การจองตั๋วเครื่องบิน หรือ สินค้าประเภทการประกันภัย เป็นต้น สามารถดูสินค้าที่ทางช้อปปิ้งแคมเปญไม่รองรับได้ที่นี่ – https://support.google.com/merchants/answer/6150006
สินค้าที่อนุญาตในบางประเทศเท่านั้น
นอกจากนี้ Google ยังอนุญาตให้กับสินค้าบางประเภท ที่จะลงโฆษณาได้ในบางประเทศเท่านั้น โดยเจ้าของผลิตภัณฑ์จะต้องทำเรื่องขอกับทางกูเกิ้ลโดยตรง สินค้าที่ว่าประกอบไปด้วย
- ของเล่นผู้ใหญ่ (เซ็กซ์ทอย)
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล
- ยารักษาโรค
เว็บไซต์ที่สามารถใช้งาน Shopping Ads ได้
แม้ว่าตัวสินค้าของคุณจะไม่เข้าเกณฑ์ที่ทาง Google ได้ตั้งขึ้นมา แต่ว่าถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่ได้มีส่วนประกอบของหน้าต่างๆ ดังต่อไปนี้ แอคเค้าท์ของคุณก็จะไม่ได้รับการพิจารณาอย่างแน่นอน หน้าต่างๆ นั้นประกอบไปด้วย
- Privacy Policy (นโยบายความเป็นส่วนตัว)
- Terms & Condition (T&C)
- How To Pays (ขั้นตอนการจ่ายเงิน/ชำระเงิน)
- Contact US (ช่องทางการติดต่อผู้ขาย)
- SSL
- Refund Or Return Policy (นโยบายการคืนสินค้า)
ถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่มีส่วนประกอบของหน้าต่างๆ ดังกล่าวมา บอกได้เลยว่าแอคเค้าท์ของคุณจะไม่ผ่านการพิจารณาอย่าง ดังนั้นควรที่จะสร้างหน้าต่างๆ เหล่านี้ขึ้นมาก่อนที่จะอัพโหลดสินค้าเข้าสู่ Merchant Center
เริ่มต้นสร้างแคมเปญ Google Shopping Ads
เมื่อสร้าง Google Merchant Center เรียบร้อย และทำการเชื่อมกับ Google Ads ต่อมาเราก็ต้องมาสร้างแคมเปญกันต่อใน Google ทำแบบไหน เหมือนเดิมตามผมมา
เริ่มต้นให้เราเลือกคลิกเพื่อสร้าง New Campaign หลังจากนั้นให้เลือกเป็น Sales และเลือกเป็น Shopping Campaign ตามภาพด้านบน และถ้าเราเชื่อมกับ Google Ads เราก็จะเห็นเป็นแบบด้านล่าง
ตรงนี้ให้เลือกเป็น Standard Shopping Campaign ก่อน และเมื่อได้รันแคมเปญไปสักพักใหญ่ๆ และเริ่มที่จะมีการสร้างออร์เดอร์เข้ามาจำนวนหนึ่ง เราค่อยสร้าง Smart Shopping Campaign ในภายหลัง ซึ่งมันจะให้ผลที่ดีกว่า แต่ต้องใช้ดาต้าประมาณหนึ่งเพื่อทำให้ Machine Learning ของ Google มีประสิทธิภาพที่มากขึ้น หลังจากนั้นก็ให้กดตกลงการสร้างแคมเปญก็จะเสร็จสิ้นครับ
สรุป
การลงโฆษณาใน Google Shopping Ads เราจำเป็นที่จะต้องสร้าง Google Merchant Center ก่อน และทำการอัพโหลดสินค้าทุกชื้นที่เรามีอยู่ในเว็บไซต์เข้าสู่ระบบ Merchant เพราะ Google จะไม่สามารถทำโฆษณาได้เลย ถ้าไม่รู้ว่าสินค้าของคุณมีอะไรบ้าง และเมื่ออัพโหลดสินค้าขึ้นไปเรียบร้อยแล้วเราจำเป็นที่จะต้องรอประมาณ 3 วันทำการเพื่อให้ทางทีมงานได้ตรวจสอบว่าสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ถูกต้องตามกฏที่ทาง Google ได้ตั้งไว้หรือไม่
ถ้าเห็นว่า การทำ Google Shopping Ads มันยากเกินไป และต้องการความช่วยเหลือสามารถที่จะติดต่อผมเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้นะครับที่ @digiera
