Google Analytics และ Search Console เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะบอกคุณได้ว่า SEO ของเว็บคุณนั้นประสบผลสำเร็จหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับมือใหม่อาจจะยังไม่เข้าใจค่า Metric เหล่านี้ และอาจจะทำให้เมื่อต้องอ่าน Reports อาจจะไม่เข้าใจได้ โดยค่าหลักๆ ที่จะต้องให้ความสำคัญใน Analytics ก็จะประกอบไปด้วย

Organic Traffics – จำนวนคนเข้าเว็บไซต์ผ่านช่องทางการค้นหาของ Search Engines ต่างๆ ที่อาจจะไม่ใช่ Google Search โดยที่ยิ่งถ้าหากจำนวนคนเข้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็สามารถที่จะพูดได้ว่า SEO ที่ได้จ้างมานั้นสามารถที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณไปอยู่ในหน้าแรกของการค้นหาได้ เรียกได้ว่าเป็น KPI หลักๆ ที่จะต้องใช้วิเคราะห์ และวัดผลได้ดีทีเดียว อย่างไรก็ตามการดูเพียงแค่จำนวนคนเข้าในแต่ละเดือนอาจจะยังไม่สามารถวิเคราะห์ได้ผลมากนัก คุณอาจจะต้องเลือก Break Down ข้อมูลด้วยการเลือกดูเป็น Landing Page / Locations

  • by Locations : ข้อมูลตรงนี้จะสามารถบอกได้ว่าคนที่เข้าเว็บไซต์ของคุณนั้นมาจากประเทศไหน หรือเมืองอะไร
  • by Landing Page : ข้อมูลตรงนี้จะสามารถบอกได้ว่าคนที่ได้เข้าเว็บไซต์ของคุณนั้น เข้าผ่านหน้าไหนมากที่สุด และเข้าผ่านหน้าไหนน้อยที่สุด เมื่อได้ข้อมูลดังกล่าวมาแล้วคุณก็อาจจะนำเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจได้ว่าจะ สร้างกลยุทธ์เกี่ยวกับ SEO ได้อย่างไรบ้าง เช่น ถ้าหน้า A มีคนเข้ามาในเว็บไซต์ค่อนข้างมากแต่ว่า การปรับ On Page ยังไม่ดีพอคุณก็อาจจะต้องกลับไปให้ความสำคัญตรงนั้นเพื่อคงให้ Google ยังจัดอันดับหน้านั้นๆ ให้อยู่ในอันดับเดิมๆ และไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

organic traffic overall and lp

ACQUISITION > ALL Traffic > Channels > Organic Traffics

Organic Bounce Rate – อัตรา Bounce Rate ใน Google Analytics สามารถบอกได้ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นอาจจะยังมีคุณภาพไม่มากพอยิ่งมีการ Bounce ที่สูงอย่างเช่น 80 – 90% เรียกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน เนื่องจากคนที่เข้ามาแล้วนั้นอาจจะออกในทันทีโดยที่ไม่ได้ทันอ่านบทความ หรือเลือกสินค้าในเว็บไซต์เลย โดยสาเหตุอาจจะมาจากเว็บไซต์โหลดช้าจนเกินไป หรือเข้าผ่านทางมือถือแล้วไม่ได้เป็นแบบ Mobile Friendly เป็นต้น และเช่นเดียวกันคุณก็ไม่ควรที่จะเลือกดูเฉพาะ Average แต่ควรจะเจาะลึกลงไปว่าอะไรทำให้ Bounce Rate ของคุณสูงขนาดนั้น

  • by Landing Page : คุณสามารถที่จะตรวจสอบได้ว่าหน้าไหนที่ส่งผลให้เกิด Bounce Rate ที่สูง แทนที่จะปรับทั้งเว็บไซต์ก็อาจจะเปลี่ยนไปปรับเฉพาะหน้านั้นแทนก็ยังได้
  • By Device : ทุกวันนี้เป็นยุคของ Mobile First ดังนั้นคุณก็ควรที่จะต้องคิดถึงตรงนี้ด้วยว่าเว็บไซต์มีการปรับให้เหมาะสมกับโทรศัพท์มือถือหรือไม่ (Responsive Design) เพราะอัตราการ Bounce Rate ที่สูงอาจจะไม่ได้มาจากหน้า Landing Page เท่านั้น เพราะบางทีอาจจะมาจากมือถือก็ได้เช่นเดียวกัน
  • By Locations : ถ้าเว็บไซต์ของคุณเลือกที่จะ ทำ SEO เพื่อที่จะ Target ในหลายๆ ประเทศ Bounce Rate ที่เกิดขึ้นเรียกได้ว่าสำคัญมากๆ เนื่องจากสามารถที่จะบอกได้เลยว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นโหลดช้าในบางประเทศ หรือบางประเทศอาจจะเข้าไม่ถึง วิธีการแก้ปัญหานี้ก็อาจจะต้องเลือกใช้บริการของ CDN (Content Deliver Network) เพื่อทำให้โหลดเร็วขึ้นกว่าเดิม

oganic traffic bounce rate

Organic Bounce Rate

Organic Conversions / Conversions Rate – ไม่ว่าจะเป็นคนที่เข้าผ่าน Marketing Campaign ที่เป็นแบบ Paid หรือ Organic ล้วนที่จะต้องเช็คเสมอว่าคนที่ได้เข้ามานั้นได้ให้รายชื่อ หรือสร้าง Conversions ได้มากหรือน้อย

  • By Landing Page – ยิ่งหน้าไหนมี Conversions Rate ที่สูงเมื่อเทียบกับเพจอื่นๆ ก็จะสามารถบอกได้ว่า Marketing Message ในหน้านั้นๆ สามารถที่จะสร้างทำให้คน Actions ได้ คุณก็อาจจะลอง Copy หรือโคลนนิ่งให้เหมือนกับทุกๆ หน้า

organic traffic conversions rate

Organic Conversions Rate

Keyword Ranking – ถ้าต้องการที่จะตรวจสอบเว็บของคุณได้ถูกจัดอันดับไว้เป็นที่ลำดับที่เท่าไหร่ในหน้า Google Search Result Page นั้นจะต้องมีเครื่องมือเข้ามาเป็นตัวช่วยในตรวจสอบเพื่อที่ Track ได้ว่า Keywords ที่ได้ Target นั้นตอนนี้อยู่อันดับที่เท่าไหร่แล้ว โดยเครื่องมือที่มักจะนิยมใช้กันก็จะเป็น

  • Moz
  • Raven Tools
  • Ahrefs
  • Proranktracker

organic ranking

Ranking Track

นอกจากนั้นคุณอาจจะใช้ Search Console สำหรับการตรวจสอบได้เช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าการอัพเดตข้อมูลนั้นๆ อาจจะดีเลย์ไปบ้าง บางครั้งอาจจะสัก 1 – 2 สัปดาห์

Organic CTR – คุณสามารถที่จะดูอัตราการคลิกของ Organic ได้เช่นเดียวกันผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Search Console โดยจะต้องเชื่อมกับทาง Analytics เสียก่อนจะทำให้ข้อมูลที่ได้มานั้นค่อนข้างเที่ยงตรงมากขึ้น เพียงแค่ให้ไปที่ Search Analytics คุณก็จะเห็นว่า Landing Page ไหนบ้างที่มีจำนวน CTR สูงๆ นั่นไม่ใช่หมายความเพียงว่าเป็นแค่เว็บไซต์ของคุณนั้นอยู่ในอันดับต้นๆ แต่หมายถึงว่า Title / Meta Description นั้นทำให้คนพร้อมใจที่จะคลิกเว็บไซต์ของคุณก่อนเสมอ

organic ctr

ปริมาณการค้นหา > Analytics สำหรับการค้นหา

Page Index – ถ้าเว็บไซต์ของคุณไม่ได้ถูก Index หรือนำไปเก็บข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลของ Google หรือ Search Engines อื่นๆ ก็ไม่มีทางเลยที่จะมีใครหาเว็บของคุณเจออย่างแน่นอน โดยที่สามารถเช็คได้ว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นถูกนำไปเก็บไว้ในฐานข้อมูลไว้หรือไม่นั้น สามารถที่จะทำได้ด้วยการใช้คำสั่งนี้ในหน้า Search – site:[เว็บไซต์ของคุณ] ก็จะเห็นเป็นตัวเลขว่าได้ถูก Index ไปเท่าไหร่แล้ว หรือเช็คผ่าน Google Search Console

Duplicate Title & Meta Description – เว็บไซต์ที่ดีจะต้องเป็นเว็บที่ไม่มีปัญหาเรื่อง Duplicate Page Title หรือ Meta Description เพราะถ้ามีมากจนเกินไปจะทำให้เกิดผลเสียได้แน่นอน เนื่องจากถ้าหากมี Title ที่ซ้ำกันมากจนเกินไปจะส่งผลให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณนั้นต้องการที่จะให้ความสำคัญเรื่องใด เรื่องหนึ่งเท่านั้น และหมดโอกาสที่จะถูกนับไปเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลของ Google หรือ Search Engine อื่นๆ ดังนั้นถ้าหากสร้างหน้าใหม่ในเว็บก็ควรที่จะมี การปรับ On Page เบื้องต้นเสมอ เพื่อที่จะบอกได้ว่าในหน้าดังกล่าวต้องการที่จะนำเสนอเรื่องใด

ลักษณะที่ปรากฏของการค้นหา > การปรับปรุง HTML

duplicate page title

Apiwat Chaleamjit (X)

Apiwat Chaleamjit (X)

เดินสายอยู่บนเส้นทาง Digital Marketing มานานกว่า 10 ปี โดยได้ดูแลแคมเปญให้กับธุรกิจขนาดเล็ก SME ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่เป็น Corporate โดยมีความถนัดกับทุกด้านตั้งแต่ ธุรกิจด้านการเงินทุกชนิด, การประกันภัย, การศึกษา, อีคอมเมิร์ช และอื่นๆ อีกมากมาย โดยจุดมุ่งหมายเดียวในการทำแคมเปญของผม มักจะเน้นที่เพิ่มยอดขาย เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.