หลังจากที่ในคราวก่อนผมได้โพสต์เรื่อง การวัดค่า KPI ของการทำ Adwords ไปแล้ว วันนี้ผมจึงอยากที่จะยกคำแนะนำอีกหนึ่งบทความจาก Search Engine Journal มานำเสนออีกรอบ เพื่อเตือนใจว่าคุณไม่ควรที่จะพลาดกับเรื่องเหล่านี้เพราะอาจจะทำให้ผลงานที่ทำดีมาตลอดเสียหายได้ ไปดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง
เลือกอ่านเฉพาะบางหัวข้อที่คุณต้องการ
จะต้องใช้ Conversions Pixel เป็นตัวช่วยสำหรับการตรวจสอบ KPI
ถ้าได้อ่านบทความในครั้งก่อนที่เกี่ยวกับเรื่อง KPI ผมได้ย้ำเรื่องนี้ไปแล้วบ้าง แต่ไม่ได้เยอะเท่าที่ควร ดังนั้นถ้าหากเราต้องการที่จะสร้างโฆษณาที่มี Performance ที่ดี การติดตั้ง Conversions Pixel จะเป็นตัวช่วยบอกนักโฆษณาได้ว่าแคมเปญที่ได้รันไปนั้นมีผลตอบรับเป็นอย่างไร ดีหรือไม่
สำหรับการทำ Google Ads นั้นจะสามารถที่จะ Tracking Leads หรือ Orders นั้นสามารถทำได้สองทางด้วยกันคือ การนำค่าของ Goal ที่ถูกตั้งไว้ใน Google Analytics หรือเลือกใช้การติดตั้ง Adwords Conversions Pixel ด้วยการนำ Java Script ที่จะต้องนำไปติดตั้งไว้ในหน้าสุดท้ายของ Customer Journey อย่างเช่น Thanks Page อย่างไรก็ตามควรที่จะเลือกอย่างใด อย่างหนึ่ง โดยไม่จำเป็นจะต้องเลือกใช้ทั้งสองเพราะจำนวน Leads / Orders ที่เราได้มาอาจจะมากกว่าปรกติได้ ดังนั้นก่อนที่จะลงมือควรที่จะวางแผนการเก็บข้อมูล Conversions ให้เรียบร้อย
ควรที่จะเซ็ตติ้ง Geo Targeting เสียใหม่
สำหรับคนที่ทำงานทางด้านนี้คงจะรู้ดีอยู่แล้วว่า Google Adwords จะตั้ง Default GEO Targeting ไว้อยู่แล้วจึงมักที่จะไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก แต่อันที่จริงแล้วแบบที่ได้ตั้งค่ามาในเบื้องต้นนั้น มักจะมีบางส่วนที่จะถูก Target นอกเขตที่เราต้องการอยู่บ้าง ดังนั้นเราควรที่จะเปลี่ยนมาเป็นแบบที่ให้ Target เฉพาะ locations ที่ต้องการเพียงเท่านั้น
ต้องรู้จักการตั้งค่า Ads Scheduling
สำหรับการตั้งค่าในเบื้องต้นนั้นทาง Google Adwords จะโชว์โฆษณาเราตลอด 24 ชั่วโมงทั้งสัปดาห์ ทำให้ในบางครั้งจำนวนเงินที่ใช้ในแต่ละวัน อาจจะหมดเสียก่อนและส่งผลให้โฆษณาของเราไม่สามารถที่จะออนไลน์ต่อได้ไปตลอดทั้งวัน ดังนั้นถ้าหากคุณอยากที่จะให้โฆษณาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ควรที่จะต้องทำ Ads Scheduling หมายถึง การจัดให้โฆษณาโชว์เฉพาะช่วงเวลาที่เรานั้นต้องการ อย่างเช่น โชว์โฆษณาของเราในช่วงเวลา 08.00 – 18.00 เท่านั้น ซึ่งจะทำให้คุณสามารถกำหนดเรื่องค่าใช้จ่ายของแต่ละวันได้
แต่ในช่วงเริ่มต้นของการตั้งแคมเปญ เราอาจจะให้โฆษณานั้นได้ออนไลน์ไปก่อนสัก 2 – 4 สัปดาห์เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แน่นอน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ วิเคราะห์ข้อมูลว่า ช่วงเวลาใดที่คนมักจะคลิกโฆษณา หรือเห็นโฆษณา รวมไปจนถึงกลายมาเป็นลูกค้าของคุณ จึงค่อยปรับ Ads Scheduling เพื่อให้โฆษณาของคุณมีประสิทธิสูงสุด
เลือกที่จะใช้คีย์เวิร์ดซ้ำๆ กัน (Duplicate Keyword)
ในบางครั้งการใส่คีย์เวิร์ดลงไปในแคมเปญอาจจะมีผิดพลาดกันได้บ้าง ที่คุณอาจจะใส่คีย์ที่ซ้ำๆ กันลงไป ซึ่งมันอาจจะส่งผลให้การแสดงของโฆษณาคลาดเคลื่อน หรือไม่เป็นไปตามที่ต้องการ แต่ Google จะมองว่าคีย์เวิร์ดของคุณนั้นซ้ำกันหรือไม่ เราสามารถทราบได้จาก การเลือกใช้ Google Adword Editor ให้เป็น เพื่อที่จะหยุดคีย์เวิร์ดใด คีย์เวิร์ดหนึ่ง และเลือกใช้เพียงแค่แบบใด แบบหนึ่งเท่านั้น โดยที่คุณจะต้องไปที่ Adwords Editor > Tools > Duplicate Keywords
ซึ่งคีย์เวิร์ดที่กูเกิ้ลมักจะมองเห็นว่าซ้ำกันนั้น จะเป็นลักษณะของ Broad Match Modifier หรือ BMM เนื่องจากว่าในการเลือกคีย์เวิร์ดที่จะโชว์นั้นอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องมี 2 คีย์เวิร์ดที่เป็น Match Type เดียวกัน แต่ว่าเขียนคนละรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น +ผู้ชาย +รองเท้า, +รองเท้า +ผู้ชาย เป็นต้น ซึ่งเราอาจจะต้องเลือกอย่างใด อย่างหนึ่ง โดยที่คุณอาจจะดูที่ประสิทธิภาพของแต่ละคีย์ไป
ควรที่จะจัดการ Structure ของแคมเปญให้เป็นแบบมืออาชีพ
การลงโฆษณาใน Google Adwords ที่นั้นไม่ควรที่จะใส่ทุกคีย์เวิร์ดลงใน Ad Group เดียวกัน หรือแคมเปญเดียวกันมากจนเกินไป แต่ควรที่จะจัดการโครงสร้างของแคมเปญให้ดี เพื่อให้ Ads นั้นมี Quality Score ที่ดีเพื่อบีบให้ค่า Average CPC นั้นต่ำลง เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
สำหรับการวางโครงสร้างของแคมเปญโฆษณานั้นสามารถที่จะทำได้ด้วยหลายกระบวนการด้วยกัน แต่ผมนั้นจะวางโครงสร้างด้วยการจัด Theming ของคีย์เวิร์ดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เพื่อสร้าง Relevancy ของตัว Ads Copies ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้านั้นคลิกโฆษณานั้นๆ
เคยลอง Experiment ใน Adword กันบ้างหรือยัง?
ถ้าหากคุณไม่ได้มีความมั่นใจสำหรับตัว Ads Copies ของคุณว่าจะมีประสิทธิภาพหรือไม่ หรือ Landing Page ที่ได้เลือกใช้นั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่ รวมไปจนถึงคีย์เวิร์ดที่เลือกสามารถที่จะสร้าง Leads / Orders ได้หรือไม่ ดังนั้นผมจึงอยากที่จะให้ลองได้ใช้ Ads Experiment ที่เป็น Feature หนึ่งสำหรับ Google Search โดยที่คุณสามารถที่จะทดสอบหรือทำ A/B Testing ให้กับแคมเปญของคุณได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องพึ่งโปรแกรมอื่นๆ
ต้องลองหลายๆ Bidding Options
สำหรับ Adwords เราจะต้องจ่ายเมื่อตัวโฆษณาของเรานั้นถูกคลิก หรือเรียกว่า Cost / Click ดังนั้นสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของโฆษณาเราจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างคลิกให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องจ่ายในราคาที่สมเหตุสมผล แต่ด้วยที่ Google Ads มีหลายๆ Objective จึงทำให้คุณสามารถที่จะทำให้โฆษณาของคุณนั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ไปอีก ด้วยการใช้ Bidding Strategies ต่างๆ ให้ตรงต่อ Objective นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น
Target CPA : เป็น Bidding Strategies ที่ผมมักจะเลือกใช้มากที่สุดให้กับหลายๆ ธุรกิจ เนื่องจากสามารถที่จะกำหนด Cost Per Actions ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด แต่ว่าถ้าคุณจะเลือกการตั้งค่า Bidding เป็นแบบนี้ก็ควรที่จะมี Leads เข้ามาอย่างน้อย 20 – 30 Leads / Day และต้องใช้ Conversions Pixel ด้วยเพื่อให้ Google Adwords นำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนาให้มันดีขึ้นกว่าเดิม
Ads Extension ไม่ผ่านการ Approved
สำหรับการลงโฆษณาในระบบของ Adwords นอกจากตัวโฆษณาที่เป็น Text แล้วทาง Google ยังมี Ad Extensions ที่เป็นตัวเสริมที่จะทำให้โฆษณาของคุณมีอัตราคลิกที่สูงขึ้น (CTR) ได้ แต่ในบางครั้งที่เราได้ติดตั้งไปแล้วนั้นอาจจะหลงลืมที่จะกลับไปเช็คอีกครั้ง จนอาจจะทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่า Extensions เหล่านั้นผ่านการ Approve หรือไม่ ดังนั้นควรที่จะตรวจเช็คบ้างเมื่อได้ติดตั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตามยังมีอีกมากมายที่เราสามารถที่จะปรับทำให้ Adwords ของเราดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ซึ่งผมจะนำวิธีการเหล่านั้นมานำเสนอกันในภายหลังครับ
ข้อมูลจาก – https://www.searchenginejournal.com/top-10-common-adwords-mistakes/216271/